หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสุข
27 มิถุนายน 2560

 

หลวงปู่บุดดา ถาวโร มีนามเดิมว่า บุดดา นามสกุล มงคลทอง 
เกิดเมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ 
สถานที่เกิด หมู่บ้านหนองเกวียนหัก ต.พุคา อ.บ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี 
ได้บรรพชาและอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดเนินยาว ต.โพนทอง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี 
ในปีพ.ศ.๒๔๖๕ โดยมีพระครูธรรมขันธ์สุนทร (หม่อมราชวงศ์เอี่ยม) เป็นพระอุปัชฌาย์ 
มรณภาพ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๗ สิริอายุ ๑๐๐ ปี ๗ วัน ๗๒ พรรษา 
ตรงกับวันพุธ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๒ ปีจอ
อ้างอิง - http://www.dhammathai.org/

     หลวงปู่บุดดา ถาวโร มีนามเดิมว่า บุดดา นามสกุล มงคลทอง เกิดเมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ
เดือนยี่ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ 
     สถานที่เกิด หมู่บ้านหนองเกวียนหัก ต.พุคา อ.บ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ได้บรรพชาและอุปสมบท
ณ พัทธสีมา วัดเนินยาว ต.โพนทอง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี 
ในปี พ.ศ.๒๔๖๕ โดยมีพระครูธรรมขันธ์สุนทร
(หม่อมราชวงศ์เอี่ยม) เป็นพระอุปัชฌาย์ 
มรณภาพ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๗ สิริอายุ ๑๐๐ ปี ๗ วัน
๗๒ พรรษา 
ตรงกับวันพุธ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๒ ปีจอ
/data/content/69/cms/bdhmoprv2345.jpg
เครดิต ภาพ/จากบล็อก http://oknation.nationtv.tv/blog/nakornrajsima

    ชีวิตในสมัยฆราวาส
    หลวงปู่บุดดา มีโยมบิดาชื่อ นายน้อย มงคลทอง โยมมารดาชื่อ นางอึ่ง มงคลทอง 
มีพี่น้องทั้งหมด ๗ คน ในช่วงวัยเด็กท่านได้เกิดมีสัญญาความจำระลึกย้อนอดีตชาติได้ว่า 
บิดาของท่านในอดีตชาติเคยเป็นพี่ชายของท่าน

    พอเข้าสู่วัยฉกรรจ์อายุได้ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ในปี พ.ศ.๒๔๕๘ ได้ถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารสังกัด
กองทัพบก ทหารบกปืน ๓ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ รับราชกาลทหารอยู่ ๒ ปี ในกองทัพที่ ๓ ลพบุรี 
สมัยเมื่อเป็นพลทหารหนุ่มรูปงาม มีผู้หญิงมาชอบ เข้ามาพูดจาทำนองเกี้ยว แต่ท่านพูดกลับไปว่า
"กลับไปเสียเถิด ฉันเป็นทหารตัวเมีย ไม่ชอบผู้หญิง ถ้าไปเจอทหาร
ตัวผู้คนอื่นเข้าก็จะลำบาก"

   ในปี พ.ศ.๒๔๖๐ ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ขึ้น ทางการได้มีการรับสมัครคัดเลือกทหาร
อาสาไปราชการรบในสงคราม ณ ทวีปยุโรป หลวงปู่บุดดาได้เข้าสมัครอาสาด้วย
เหมือนกัน แต่
ท่านกินเหล้าไม่เป็น เขาจึงไม่รับโดยได้อธิบายเหตุผลว่า ในทวีปยุโรปนั้น 
อากาศหนาวเย็นมาก
ทหารทุกคนจำเป็นต้องดื่มเหล้าเพื่อช่วยให้คลายหนาว ดังนั้น 
ท่านจึงไม่ได้เข้าร่วมใน
สงครามคราวนั้น

    สู่ร่มกาสาวพัสตร์
    หลังรับราชการทหาร ท่านได้ช่วยโยมบิดามารดาทำงานเกษตรกรรมอยู่ ๔ ปี โดยท่านมี
ความปรารถนาในใจเสมอมาว่า อยากจะได้บวชในร่มเงาพระพุทธศาสนา ด้วยจิตที่เบื่อหน่าย
ในทางโลกมาตั้งแต่เด็กแล้ว ดังนั้นเมื่อมีโอกาสจึงขออนุญาตต่อบิดามารดาบวช เมื่ออายุได้ ๒๘ ปี
ที่วัดเนินยาว โดยมีพระครูธรรมขันธ์สุนทร (ม.ร.ว.เอี่ยม อิศรางกูร ณ อยุธยา) 
เป็นพระอุปัชฌาย์
พระครูเรือง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เจ้าอธิการไพล เป็น
พระอนุสาวนาจารย์ โดยมีคณะสงฆ์
๒๕ รูป นั่งเป็นพระอันดับ ได้ฉายาว่า "ถาวโร"

    หลวงปู่บุดดา ท่านกล่าวเสมอว่า ท่านถือพระอุปัชฌาย์ และพระสงฆ์ ๒๕ รูป เป็นครูบาอาจารย์
อุปัชฌาย์ทุกองค์ ท่านสอนปัญจกรรมฐานให้แล้วในวันอุปสมบท 
คือเกศา โลมา นะขา ทันตา
ตะโจ หรือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โดยพิจารณา
เรียงไปตามลำดับและย้อนกลับ จนเห็นชัดเจน

     แสวงธรรม
     หลังจากบวช เมื่อออกพรรษาแรกแล้ว หลวงปู่บุดดาได้ออกจาริกแสวงหาสถานที่วิเวก เจริญ
สมณธรรมตามอัธยาศัยเพียงองค์เดียว หลวงปู่บุดดามุ่งปฏิบัติกรรมฐานพิจารณา
กายภายในอยู่เสมอ
ข้อวัตรปฏิบัติเคยทำอย่างไร ก็ยังคงทำมิได้ขาด ท่านทำความ
เพียรอยู่โดยตลอด บางครั้งบางคราว
กิเลสราคะอันมักจะเกิดขึ้นมาให้รู้ได้ว่ายังมีอยู่
ท่านก็ได้เพียรพยายามดับมันด้วยอุบายวิธีต่างๆ
     หลวงปู่บุดดาท่านจาริกธุดงค์บำเพ็ญเพียรมาโดยตลอด จนถึงพรรษาที่ ๔ ท่านได้ออกธุดงค์
อยู่ในป่าแถบเทือกเขาภูพานนั้น ท่านได้พบกับพระธุดงค์องค์หนึ่งคือ พระสงฆ์ พรหมสโร ซึ่งมีอายุ
แก่กว่าท่าน ๑๐ ปี พรรษามากกว่า ๑ ปี ทันทีที่ได้พบหน้าท่านระลึกชาติได้ว่าพระสงฆ์ พรหมสโร 
เคยเป็นบิดาในอดีตชาติ ท่านจึงเรียกพระสงฆ์ พรหมสโร ว่าคุณพ่อสงฆ์ หลวงปู่บุดดากับ
พระสงฆ์ พรหมสโร มีอัชฌาศัยตรงกัน
    หลังจากนั้นท่านได้ออกจาริกร่วมธุดงค์มาด้วยกัน จากอีสานมาสู่ภาคกลาง ผ่านตำบลหัวหวาย 
อำเภอตาคลี นครสวรรค์พบชัยภูมิคือ ภ้ำภูคา บนภูคา มีบรรยากาศสงบ ร่มเย็นและวิเวกยิ่ง สถานที่
สัปปายะ เหมาะแก่การเจริญกรรมฐานยิ่ง พอใกล้พรรษาทั้งสองจึงได้ไปจำพรรษาที่วัดป่าหนองคู 
พอออกพรรษาก็กลับมาที่ถ้ำภูคาอีกครั้ง
    ณ ที่ถ้ำภูคานี้เองที่หลวงปู่บุดดาในพรรษาที่ ๔ และพระสงฆ์ พรหมสโร ในพรรษาที่ ๕ ได้พำนัก
อาศัยบำเพ็ญเพียรจนได้รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจธรรมทั้งสององค์

/data/content/69/cms/dejkqstuyz26.jpg

     บรรลุธรรม
     หลวงปู่บุดดาท่านได้เล่าเหตุการณ์ในวันที่บรรลุธรรมว่า คืนนั้นขณะที่ท่านทั้งสองกำลังนั่งคุย
กันอยู่ 
โดยนั่งลืมตาคุยกันปกตินี่เอง แล้วหันหน้าเข้าสนทนากันอย่างออกรสชาติอยู่นั่นเอง จู่ๆ หลวงปู่
บุดดา
ก็เงียบเสียงไปเฉยๆ นั่งลืมตาค้างอยู่ "พระสงฆ์ พรหมสโร"ท่านก็นั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้น มองดูอยู่ปกติ
ท่านเป็นพระขี้สงสัย ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ก็แปลกใจที่ทำไมหลวงปู่บุดดาจึงเงียบเสียงไปเฉยๆ ก็ถามหลวงปู่
บุดดาว่า "เอ๊ะ เป็นอะไรไป" หลวงปู่บุดดาท่านก็นิ่งเฉยไม่ตอบ นัยน์ตาคงเบิกโพลง
อยู่อย่างนั้น เป็นอัน
ว่าหลวงปู่บุดดาท่านได้จบกิจพระศาสนา ทำอาสวะให้สิ้นต่อหน้า 
พระสงฆ์ พรหมสโร นั่นเอง

      หลังจากนั้น ๓ วัน ในตอนเช้าก่อนที่จะออกบิณฑบาต พระสงฆ์ พรหมสโร ก็มาบอกต่อ
หลวงปู่บุดดาว่า "ไม่มีคนไปนรก ไม่มีคนไปสวรรค์ เน้อ" หลวงปู่บุดดาจึงเสริมว่า "โอ๊ย มันจะมีนรก
มีสวรรค์อย่างไร นั่นมันกิเลสต่างหากเล่า กิเลสหมด มันก็หมดนรก หมดสวรรค์ซิ" 
เป็นอันว่า
พระสงฆ์ พรหมสโร ท่านได้จบกิจบรรลุธรรมในคืนก่อนนั่นเอง

/data/content/69/cms/deijltwz2456.jpg

ยอดเขาภูคา ณ วัดเขาภูคาจุฬามณี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์
ขอบคุณ ภาพ - http://www.chomthai.com

อ้างอิง - http://www.dhammathai.org/