หลวงพ่อพรหม วัดบางปูน อ.อินทร์บุรี
27 มิถุนายน 2560

หลวงพ่อพรหม วัดบางปูน อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี

      ท่านผู้นี้มีสมณศักดิ์เป็น พระใบฎีกาฐานานุกรมของ พระครูสิงหราชมุนี (หรือ หลวงพ่อใย ) วัดระนาม เจ้าคณะ
จ.สิงห์บุรี ทั้งยังมีตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์เป็นเจ้าคณะหมวดชีน้ำร้ายซึ่งเทียบได้กับเจ้าคณะตำบลในปัจจุบัน
วันเกิดของท่านคือ วันอาทิตย์ เดือน ๔ ปีมะโรง พ.ศ.๒๔๒๒

      เป็นบุตรคนแรกของ นายขุนมา และ นางไข่ (ไม่ทราบนามสกุล) ซึ่งตั้งภูมิลำเนาอยู่บ้านโพนางดำ
อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ครั้นมีอายุได้ ๒๒ ซึ่งเกินกำหนดได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดระนาม (เหนือวัดบางปูนขึ้นไป)
ผู้ที่ได้รับนิมนต์มาเป็นพระอุปัชฌาย์คือ พระครูอินทมุนี(โต) วัดประศุก ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ส่วนคู่สวดนั้นได้แก่
พระอาจารย์พรหม วัดไผ่ล้อม และ พระสมุห์ใย วัดระนาม (พระอนุสาวนาจารย์องค์นี้ ภายหลังมีสมณศักดิ์เป็น
พระครูสิงหราชมุนีและเป็นผู้ที่แต่งตั้ง หลวงพ่อพรหม เป็นพระใบฎีกาฐานานุกรมของท่าน)


     หลวงพ่อพรหม อายุสั้น เพราะถึงมรณภาพเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๙ ขณะที่มีอายุได้ ๕๘ ปีเท่านั้น พระอธิการบุญเรือง
มหาปญฺโญเจ้าอาวาส วัดบางปูน องค์ปัจจุบัน เล่าว่า ถึงตัวท่านจะไม่ทัน หลวงพ่อพรหม เนื่องจากเกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๒
หลังท่านถึงมรณภาพแล้ว ๓ ปี แต่คนที่เกิดทันคือบิดา ซึ่งไม่เพียงเป็นศิษย์ใกล้ชิดตอนเป็นเด็กวัดเท่านั้น เพราะครั้นตอน
อายุครบบวช หลวงพ่อพรหม ยังเป็นพระอุปัชฌาย์อีกต่างหาก เนื่องจากถือเป็นศิษย์ใกล้ชิดกว่าใครๆ จึงทำให้ทราบเรื่อง
เกี่ยวกับ หลวงพ่อพรหม หลายประการ และท่านผู้นั้นได้เล่าให้ตนฟังจนจำไม่หวาดไหว เพราะส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่อง
เหลือเชื่อแทบทั้งนั้น เช่น เรื่องท่านมีญาณวิเศษและล่องหนหายตัวได้เป็นต้น

     คนบางปูนรุ่นก่อน ต่างรู้เรื่องดี ยิ่งคนที่เคยบวชอยู่กับท่านยิ่งรู้กว่าใคร ตนจำได้เฉพาะเรื่อง พระหนีเที่ยวเพียงเรื่อง
เดียวเท่านั้น กล่าวคือ หลวงพ่อพรหม ได้สั่งกำชับพระทุกองค์ว่า ถ้าองค์ไหนมีธุระออกนอกวัดต้องมาลาท่านแม้จนชั้นไป
เยี่ยมเยียนญาติโยมที่บ้านก็ต้องลา หากแต่ว่ามีพระหนุ่มอยู่กลุ่มหนึ่งที่ชอบหนีไปเที่ยวบ้านสาวๆเป็นประจำ แต่ท่านทำ
เป็นไม่รู้ไม่ชี้ และไม่เคยตำหนิติติงอะไรให้สำนึกตระหนักกัน

     ครั้นอยู่มาคืนหนึ่งขณะที่พระกลุ่มนี้กำลังเดินไปบ้านสีกา ปรากฏว่า หลวงพ่อพรหม โผล่ออกมาดักพร้อมกับถามว่า
พวกคุณจะไปไหนกัน ทำให้พระเหล่านั้นหันหลังเดินกลับวัด เพราะนึกละอายแก่ใจและไม่กล้าสู้หน้า แต่เมื่อกลับถึงวัด
กลับเห็น หลวงพ่อพรหม ท่านนั่งฉันน้ำชาอยู่หน้ากุฏิของท่าน ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นท่านเดินตามหลังกลุ่มพระหนุ่มมาติดๆ
ห่างไม่เกิน ๒ วา

     สรุปว่านับแต่บัดนั้นไม่มีการหนีเที่ยว ทั้งยังขยันหมั่นท่องสวดมนต์อีกต่างหาก นอกจากคำบอกเล่าของ พระอธิการ
บุญเรืองดังกล่าวข้างต้น ที่ยืนยันว่าหลวงพ่อพรหม วัดบางปูน ไม่ใช่ พระครูเทพโลกอุดร หรือ หลวงปู่เทพอุดร ตามที่มีผู้
เข้าใจคลาดเคลื่อนยังมีคนบอกเล่าให้ผู้เขียนฟังอีกรายหนึ่งซึ่งได้แก่ นายสมพงษ์ สีภา (ซึ่งปัจจุบันอายุ ๗๐ ปี)
ชาวบางปูน คนนี้บอกเล่าแบบยืดยาวพอสมควรว่า แต่เดิมนั้นท่านบวชอยู่กับ หลวงพ่อใย หลายพรรษา

     ต่อมาภายหลังอาจารย์ผู้นั้นได้ส่งท่านมาเป็นเจ้าอาวาส วัดบางปูน และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะหมวดชีน้ำร้าย ในขณะเดียว
กันท่านเป็นพระกรรมฐานและมักออกธุดงค์เป็นประจำทุกปี สถานที่ที่ท่านชอบไปบำเพ็ญภาวนาได้แก่ดงป่า และเถื่อนถ้ำแถวบ้าน
ช่องแค ซึ่งขึ้นกับอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เพราะแต่ก่อนนั้นละแวกที่ว่ายังเป็นป่ารกชัฏ และมีถ้ำตามภูเขาอยู่หลายถ้ำ
ตามความเข้าใจของตนค่อนข้างเชื่อว่า เวลาที่ออกเดินธุดงค์ท่านคงจะนำภาพถ่ายติดตัวไปจำนวนหนึ่ง

     ฉะนั้นจึงเป็นที่แพร่หลายในหมู่ชาวบ้านแถวนั้น ครั้นต่อมาคนรุ่นหลังๆ ไม่ทราบว่าเป็นภาพถ่ายของใคร จึงตั้งชื่อให้ใหม่
เป็นพระครูเทพโลกอุดร หรือ หลวงปู่เทพอุดร เพราะเห็นว่าหน้าตาท่าทางท่าน เหมาะแก่การอุปโลกน์ ด้วยดูขรึมขลังอย่างมาก
และหากจะว่าไปแล้ว ท่านก็เป็นพระที่มีคุณวิเศษหลายประการ เช่น มีญาณวิเศษ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ อย่างที่เรียกกันว่าได้อภิญญา
หรืออะไรทำนองนั้น แต่ท่านไม่ได้ทำวัตถุมงคลแจกจ่าย มีเพียงภาพถ่ายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่สำคัญท่านผู้นี้ ยังมีฐานะ
เป็นคู่สวดและอาจารย์ของ หลวงพ่อเจ๊ก วัดระนาม พระเกจิเมืองสิงห์อีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี นายสมพงษ์กล่าวปิดท้าย

( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1115 เดือนเมษายน 2556 : หลวงพ่อพรหม วัดบางปูน อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี
พระที่คนรู้จักกันในชื่อ พระครูเทพโลกอุดรภาพและเรื่องโดย ประพนธ์ พรอุตสาห์ )