หลวงพ่อแพ เขมังกโร
27 มิถุนายน 2560

ชีวประวัติ
      หลวงพ่อแพ กำเนิดใน วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๘ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือนยี่ ปี มะเส็ง ณ
ต.สวนกล้วย อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี บิดาของหลวงพ่อชื่อ นายเทียน มารดาชื่อ นางหน่าย ใจมั่นคง มีพี่น้อง
ร่วมสายโลหิต ๔ คน หลวงพ่อเป็นคนสุดท้อง
     แต่เมื่อท่านได้อายุ ๘ เดือน มารดาก็เสียชีวิต หลังจากที่มารดา ท่านจากไปแล้ว นายบุญ ขำวิบูลย์ ผู้
เป็นอา และ นางเพียร ภรรยา 
จึงได้ได้ขอหลวงพ่อมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม

การศึกษา
    เมื่อท่านอายุได้ ๑๑ ปี พ่อแม่บุญธรรม ได้นำท่านไปฝาก กับ สมภารพันธ์ เจ้าอาวาส วัดพิกุลทอง
ท่านได้ศึกษาจนพอรู้หนังสือบ้างประมาณ ๓ เดือน สมภารจึงให้พระอาจารย์ ป้อม จันทสุวัณโณ ซึ่งเป็น
พระลูกวัดที่มีความรู้ทางภาษาไทยและ ขอมอย่างแตกฉาน ทำให้หลวงพ่อมีความเชี่ยวชาญ รอบรู้ ทาง
ด้าน ภาษา คัมภีร์พระธรรม พระสูตร พระมาลัย และเขียนจารึกอักษรขอมได้อย่างงดงาม

   ปี พ.ศ.๒๔๖๑ เพื่อนของบิดาบุญธรรมของท่าน มีความประสงค์ ให้ส่งหลวงพ่อมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ
เพื่อ มาศึกษาต่อและ มาอยู่เป็นเพื่อนกับลูกชายของตนที่วัดชนะสงคราม บิดามารดาของหลวงพ่อจึงได้
บอกกล่าวความให้ท่านทราบ ท่านจึงรับปากว่าจะไปเรียนต่อตามความประสงค์ เมื่อมาอยู่วัดชนะสงคราม
หลวงพ่อจึงได้เรียน สูตรสนธิ (อัตโถ อักขระสัญญโต ฯ)กับพระอาจารย์สม อยู่ ๑ ปี ต่อมาท่านเห็นว่า
บาลีไวยากรณ์ง่ายกว่า จึงได้เปลี่ยนไปเรียน บาลีฯ ที่วัดมหาธาตุฯ

   ต่อมาปี พ.ศ.๒๔๖๓ ท่านมีอายุได้ ๑๖ ปี ได้เดินทางกลับ จ.สิงห์บุรี เพื่อเยี่ยมบิดาผู้ให้กำเนิดและบิดา
มารดาบุญธรรม มารดาบุญธรรมของท่านเห็นว่าท่านโตแล้ว จึงได้ร่วมบรรพชาเป็นสามเณร ในวันที่ ๑๕
เมษายน พ.ศ.๒๔๖๓ โดยมีพระอธิการพันธ์ เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้น ท่าน
ก็เดินทางกลับมายังวัดชนะสงคราม อยู่กับ พระอาจารย์เทศ คณะ10 ต่อมาไม่นานทางบ้านก็ส่งข่าวมา
บอกว่า โยมเทียน บิดาผู้ให้กำเนิดถึงแก่กรรม จึงเดินทางกลับไปสิงห์บุรีเพื่อ จัดการศพบิดา แล้วกลับมา
อยู่ที่คณะ ๑๐ เช่นเดิม
ปี พ.ศ.๒๔๖๖ หลวงพ่อสอบนักธรรมตรีได้ (ในสมัยนั้นผู้เข้าสอบต้องอายุ ๑๙ ปี
จึงจะมีสิทธิ์ เข้าสอบได้)

    ปี พ.ศ.๒๔๖๘ สามารถสอบเปรียญธรรม 3 ประโยค ได้ตั้งแต่เป็นสามเณร นับว่าได้นำเกียรติมาสู่วัด
ชนะสงครามเป็นอย่างมาก จากนั้นหลวงพ่อได้ไปเล่าเรียนที่ วัดมหาธาตุฯ โดยเป็นศิษย์ ของเจ้าพระคุณ
สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี)

    ปี พ.ศ.๒๔๖๙ ท่านอายุ ได้ ๒๑ ปี จึงอุปสมบทอย่างสมเกียรติสามเณรเปรียญ ซึ่งในสมันนั้นหาได้ไม่
มากนัก เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ณ พระอุโบสถวัดพิกุลทอง โดยมีพระมงคลทิพย์มุนี วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส
เป็นพระอุปัชฌาย์พระครูสิทธิเดช วัดชนะสงคราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการอ่อน วัดจำปาทอง
เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ซึ่งภายหลังอุปสมบทแล้วหลวงพ่อได้กลับมาอยู่วัดชนะสงครามตามเดิม และ
ในปีเดียวกันหลวงพ่อนักธรรมชั้นโทได้

    ปี พ.ศ.๒๔๗๐ หลวงพ่อสอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยคได้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน หลวงพ่อก็จำเป็น
ต้องหยุดศึกษาเนื่องด้วยปัญหาทางด้านสายตา จะเห็นได้ว่า ท่านได้มีวิริยะ อุตสาหะในการศึกษาตั้งแต่
เด็ก โดยถือว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญต่อปฏิบัติธรรมให้ได้ถูกต้อง ทำให้หลวงพ่อคร่ำเคร่งในการอ่าน
หนังสือในที่แสงสว่างไม่เพียงพอ

    เพราะในสมัยนั้นไฟฟ้ายังไม่มีใช้ จำเป็นต้องใช้แสงสว่างจากเทียน หรือตะเกียง นัยน์ตา ซึ่งได้ตราก
ตรำจากการดูหนังสือมากเกินไป เกิดอาการตาอักเสบแดง ปวดแสบ นายแพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ จึง
แนะนำให้ท่านหยุด ใช้สายตา มิฉะนั้นนัยน์ตาอาจจะพิการ จึงเป็นที่เสียดายเป็นอย่างยิ่งของท่านเพราะ
หลวงพ่อ ตั้งใจไวมุ่งมั่นในการศึกษามากระหว่าง ปี พ.ศ.๒๔๗๑-๒๔๗๓ ได้รับหน้าที่เป็นครูสอนบาลี
โดยสอนตามคณะต่างๆ ของวัดชนะสงคราม รับเป็นเจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง

    ปี พ.ศ.๒๔๗๔ เจ้าอาวาส วัดพิกุลทอง ได้ลาสิกขาบท ทำตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลง ชาวบ้านพิกุลทอง
และจำปาทองได้ร่วมกันปรึกษา ที่จะขอให้ท่านมารับเป็นเจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ขณะนั้นหลวงพ่อได้เดิน
ทางกลับมาเยี่ยมบิดาและญาติพี่น้องซึ่งท่านได้พักที่วัดพิกุลทอง ท่านจึงเห็นว่า เป็นวัดพิกุลทองบ้าน
เกิดเมืองนอน ตอนนี้ เสนาสนะชำรุดทรุดโทรมมากโดยเฉพาะพระอุโบสถซึ่งสร้างมา ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๔๐

    และขณะนั้นท่านได้หยุดพักรักษานัยน์ตา ประสงค์จะพักผ่อนหาความสงบ คิดว่าเมื่อตาหายดีแล้ว
ก็จะศึกษาบาลี-นักธรรมต่อตามความตั้งใจเดิม จึงรับปากว่าจะมาอยู่วัดพิกุลทอง ในระหว่างที่ ตำแหน่ง
เจ้าอาวาสว่างอยู่ปี พ.ศ.๒๔๘๒ คณะสงฆ์แต่งตั้งจึงให้ท่านดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะตำบลถอนสมอ และ
ในปีเดียวกันหลวงพ่อพิจารณาเห็นว่า พระอุโบสถชำรุดทรุดโทรมมาก พระสงฆ์ประกอบพิธีสังฆกรรม แต่
ละครั้ง ต่างกลัวไม้หลังคากระเบื้องหล่นถูกศีรษะ ไม่มีจิตเป็นสมาธิ จึงเริ่มคิดที่จะปฏิสังขรพระอุโบสถ

    เริ่มเรียนจิตศาสตร์
    เมื่อท่านอายุประมาณ ๒๔-๒๕ ปี สมัยยังศึกษาอยู่ที่กรุงเทพฯ ท่านได้เริ่มสนใจในทางปฏิบัติ
เพื่อหา ความสงบทางใจ จึงเข้าอบรมและปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานในสำนัก พระครูภาวนาฯ วัดพระ
เชตุพนฯ (วัดโพธิ์ท่าเตียน) ได้ความรู้ในแถวทางปฏิบัติมาพอสมควร และยังได้ศึกษาจากท่านอาจารย์
พระครูใบฎีกาเกลี้ยง วัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งเป็นพระฐานานุกรม และศิษย์ ผู้ใกล้ชิด สมเด็จพระสังฆ
ราชแพวัดสุทัศน์ฯ (ซึ่งทางเชี่ยวชาญ ทางด้าน สร้าง-ลบผง พุทธคุณ พระครูใบฎีกา เกลี้ยงท่านได้
เมตตาสั่งสอนอบรมและมอบตำราเกี่ยวกับจิตศาสตร์วิทยาคมให้

     ต่อมาทราบว่าในท้องที่ อำเภอบางระจันมีพระอาจารย์เรืองวิทยาคมอยู่รูปหนึ่ง มีคนนับถือและ
เกรงกลัวมาก เพราะวาจาศักดิ์สิทธิ์ ชื่อหลวงพ่อศรี เจ้าอาวาสวัดพระปรางค์ หลวงพ่อจึงได้เดินทาง
ไปฝากตัวเป็นศิษย์จนมี ความสามารถและเป็นที่โปรดปรานของหลวงพ่อศรี เป็นอย่างยิ่ง หลวงพ่อเล่า
ว่า หลวงพ่อศรี เมตตาสอนวิทยาคมให้อย่างไม่ ปิดบังอำพราง และในขณะที่ก่อสร้างพระอุโบสถ หลวง
พ่อศรีท่านก็แนะนำให้ หลวงพ่อแพ สร้างแหวน และทุกครั้งที่พลวงพ่อแพท่านได้สร้างเสร็จ ท่านจะนำ
ไปถวายหลวงพ่อศรีปลุกเสก (หลวงพ่อแพ ท่านถามหลวงพ่อศรีว่าสร้างแล้วคนนิยมกันไหม หลวง
พ่อศรี ท่านบอกว่านิยมมาก ให้สร้างมากๆ ท่านจะสนับสนุน) ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อศรีนี้เอง
ทำให้หลวงพ่อได้สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ได้สำเร็จ ในเวลา ๒ ปีเศษ

หล่อสมเด็จทองเหลือง
      เมื่อหลวงพ่อมีบารมีมากขึ้นตามลำดับ วัดหลายวัดต่างนิมนต์ ท่านเป็นประธานในการก่อสร้าง
วัดวิหาร ถาวรวัตถุต่างๆมากมายหลายวัด และ เมื่อ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ทางวัด แถบ อ.ท่าวุ้ง
จ.ลพบุรี ก็ได้นิมนต์ท่านร่วมงาน หลวงพ่อเล่าว่า ท่านเพลียมากจึงชวนศิษย์ไปจำวัด ที่หอสวดมนต์
โดยมีคนหลายนอนอยู่ก่อนแล้ว ก่อนนอนท่านเอาผ้าอาบน้ำฝนใส่ไว้ในย่าม จึงรู้สึกว่าย่ามใหญ่ คิด
ว่าคนที่นอนอยู่คงเข้าใจว่าเป็นเงิน ด้วยความอ่อนเพลียท่านจึงหลับไป พอท่านตื่นจากจำวัดเวลา
เช้ามืด พบว่าย่ามหายไปแล้ว จึงแจ้งทางวัดทราบ สำหรับสิ่งของในย่าม มีเพียงของเล็กๆ น้อยๆ
แต่ของที่สำคัญก็คือ พระสมเด็จวัดระฆังฯ ซึ่งได้รับจากสมบัติของโยมวัดชนะสงคราม จึงเป็นของ
แท้ และทรงคุณค่าทางด้านจิตใจของหลวงพ่อมาก ท่านจึงเสียดายเป็นอย่างมาก ญาติโยมช่วย
กันติดตาม ปรากฏว่าได้รับของอื่นคืนครบทุกชิ้น ยกเว้นพระสมเด็จ สอบถามผู้ขโมยได้ความว่าได้
นำไปขายให้บุคคลไม่ทราบชื่อ
 ไม่สามารถติดตามคืนได้
      หลวงพ่อเล่าว่าท่านเสียดายมาก ระหว่างนั้นต้องไปขอยืมสมเด็จวัดระฆังจาก 
อาจารย์หยด
ซึ่งเคยเป็นเจ้าอาวาส มาติดตัวไปก่อนด้วยความเคารพในบารมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต เป็น
อย่าง
ยิ่ง
ทำให้หลวงพ่อ อธิษฐานขอบารมี ณ วัดไชโยวรวิหาร ขอสร้างพระโลหะพิมพ์สมเด็จ ขึ้นใช้เอง
และ
แจกจ่ายให้กับผู้เคารพศรัทธาในปี ๒๔๙๔ ประมาณเดือน ๖ โดยนำช่างมาเททองหล่อ ที่ด้าน
ใต้ โบสถ์หลังเก่า 
ได้รับโลหะจากผู้ที่มาร่วมพิธี นำมาหล่อเช่น เครื่องเงิน ขันลงหิน โต๊กทาน
เชียนหมาก ตะบันหมาก สตางค์
แดง สตางค์ข้าว สตางค์สิบ ทองเหลือง เป็นจำนวนมาก

ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์
       ในปี พ.ศ.๒๔๘๔ หลวงพ่อได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรตำแหน่ง พระครูผู้จัดการ
ทางพระปริยัติธรรมและพระธรรมวินัย ที่ พระครูศรีพรหมโสภิต ในปี พ.ศ.๒๔๘๖ ได้รับแต่งตั้งให้
เป็นพระอุปัชฌาย์  และเป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวงในปี พ.ศ.๒๕๐๖ ได้รับตำแหน่งให้
รักษาการเจ้าคณะอำเภอท่าช้าง และ ปี พ.ศ.๒๕๐๙ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะ
อำเภอท่าช้าง

ไปประเทศอินเดีย
       ในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๑ ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่คับคั่ง ไปด้วยศิษยานุศิษย์ เกือบจะเต็ม
ศาลาการเปรียญ วันนั้นหลวงพ่อได้กล่าวออกมาด้วยความปิติต่อชุมชนว่า การเดินทางไปอินเดียครั้งนี้
เสมือนกับบุตรไปเยี่ยมภูมิประเทศบิดา เพื่อเป็นการถวายสักการะ เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณ
ในเมื่อมีโอกาสก็ควรจะกระทำ การเดินทางในครั้งนี้จะประกอบกิจเป็นกรณีพิเศษ ๒ อย่าง คือ
      ประการที่หนึ่ง เพื่อตั้งใจนมัสการสังเวชนียสถาน ทั้ง 4 ตำบลอันได้แก่ สถานที่ประสูติ สถานที่
ตรัสรู้ สถาน ที่ปฐมเทศนา และสถานที่ปรินิพพาน ซึ่งนับว่าเป็นมหากุศลพิเศษ
      ประการที่สอง
 เพื่อเดินทางไปสร้าง พระสมเด็จรุ่นพิเศษ พิมพ์ปรกโพธิ์ เนื้อมวลสารประกอบ
ด้วยผงวิทยาคม ที่(ได้ลบผง) สะสมไว้แล้วจะผสมดินที่พระพุทธเจ้าของเรา ประสูติ ตรัสรู้ และปฐม
เทศนาด้วย เวลา ๑๔.๐๐ น. หลวงพ่อเข้าสู่พระอุโบสถ นมัสการพระประธานแล้ว ไปนมัสการสมเด็จ
พระพุฒาจารย์ (โต) ณ วิหารสมเด็จของวัดแล้วเดินทางเข้ากรุงเทพ พักที่วัดชนะสงคราม คณะ
๑๐ หนึ่งคืน
      วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๑ ออกเดินทางจากท่าอากาศยานกรุงเทพฯ ถึง ประเทศอินเดีย
จากนั้นเที่ยวชมสถานที่ต่างๆของอินเดียและเดินทางสู่ พุทธคยาในตอนค่ำ
      วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ เวลาเช้า ได้เดินทางไป นมัสการต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นสถานที่ ตรัสรู้
หลวงพ่อ และคณะได้นมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงแล้ว ได้เริ่มผสมผงเพิ่อพิมพ์ สมเด็จปรกโพธิ์
เป็นฐมฤกษ์ หลวงพ่อท่านได้นั่งสมาธิจิตรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย เสกพิมพ์พระปรกโพธิ์ แล้วจึง
กดพิมพ์ ด้วยจิตที่มุ่งส่งกระแสจิตเพื่อบรรจุในองค์พระ ณ ควงไม้โพธิ์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ ว่าพิมพ์
ปรกโพธิ์
ที่สร้างขึ้น มีมงคลฤกษ์ ณ สถานที่ตรัสรู้ พุทธคยา ประเทศอินเดีย ก่อให้เกิดสิริมงคล
แก่ผู้นำไปบูชา
      เวลา ๑๑.๐๐ เดินทางกลับมาที่วัดไทยพุทธคยา เพื่อฉันภัตตาหารเพล พักผ่อนพอสมควรแล้ว
ตอนบ่าย หลวงพ่อได้เดินทางไปที่ ณ ควงต้นศรีมหาโพธิ์อีกครั้งหนึ่งเพื่อนมัสการ เป็นคำรบสองและ
ปลุกเสกพิมพ์พระและผงที่ผสมในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์โดยประสงค์เพื่อจะนำกลับมาเพื่อเป็นชนวน
ผสม สร้างพระให้พอเพียงแก่ผู้มีจิตศรัทธาในตัวหลวงพ่อ จะได้นำไปบูชาสักการะและติดตัว เพื่อคุ้ม
ครอง
ทุกหนทุกแห่ง และหลังจากนั้นหลวงพ่อได้เดินทางไปยัง สถานที่ปฐมเทศนา ปรินิพพาน และ
ประสูติ ตามลำดับ และยังได้เดินทางไปตามสถานที่สำคัญต่างๆอีกมากมาย ท่านได้เดินทางกลับ
ประเทศไทย ในวันที่ ๙ มี.ค.๒๕๑๔ ใช้เวลาเดินทางรวม ๑๓ วัน

บูรณะค่ายบางระจัน
     ค่ายบางระจันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ประจักษ์ แก่ประชาชนท้องถิ่นและผู้ไปเที่ยวชมมาก
ต่อมาก โดยเฉพาะก้อนอิฐ ซึ่งแต่ละก้อนจะประทับดอกจันทร์ไว้ ชาวบ้านเกรงกลัวเป็นอย่างยิ่งและ
ต้นไม้แดง ซึ่งมีมากบริเวณค่าย ไม่มีใครสามารถตัดได้ แม้แต่กิ่งแห้งเหี่ยวหักตกลงมา ชาวบ้านหรือ
แม้กระทั่งพระในวัด นำไปเป็นฟืนหุงต้มยังวิบัติ และสิ่งสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ อีกอย่างหนึ่งก็คือสระน้ำ
หน้าวิหาร พระอาจารย์ธรรมโชติ
     สมัยก่อนมีปลาชุมคลักอยู่ก้นบ่อ ผู้ใดจับไปกินจะเกิดอาเพศต่างๆ แม้น้ำในบ่อเคยมีคนนำไป
เติมหม้อน้ำรถ หม้อน้ำก็ยังระเบิด
 ชาวบ้านบางระจันจึงพร้อมใจยอมรับกันว่า มีแต่หลวงพ่อเท่านั้น
ที่จะเป็นผู้นำในการบูรณะครั้งนี้ โดยแต่เดิมท่านก็ได้ดูแลมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๘ จนในปีพ.ศ.๒๕๐๘
คณะรัฐมนตรีมีมติ แต่งตั้งให้ท่านเป็นกรรมการฟื้นฟูและบูรณะค่ายบางระจัน และปลูกต้นโพธิ์
อีก ๘ ต้น รวมกับ ต้นเก่าที่มีอยู่แล้ว อันเป็นสัญลักษณ์ของวักโพธิ์เก้าต้น

ไปศรีลังกา
    วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๑๕ หลวงพ่อท่านได้เดินทางไปกับคณะพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก
เพื่อไปร่วมประชุมและสังเกตการณ์ โดยมีพุทธศาสนิกชนจากหลายประเทศเข้าร่วมประชุม ณ ประ
เทศศรีลังกา ซึ่งการเดินทางครั้งนี้หลวงพ่อแพท่านได้ประทับพิมพ์พระสมเด็จฐานสิงห์เป็นปฐม
ฤกษ์ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๑๕ ณ วัดศรีมหาโพธิ์

สร้างพระอุโบสถหลังใหม่
    หลวงพ่อแพ ท่านได้ตัดสินใจสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ในวันเพ็ญเดือน ๓ ตรงกับวันมาฆบูชา
เพื่อให้ เพียงพอสำหรับ พระภิกษุและสามเณรที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น และในวันสำคัญในศาสนา ประชาชน
จะได้มีโอกาสเข้าร่วม บำเพ็ญกุศลในพระอุโบสถได้มากขึ้น แต่อุปสรรคสำคัญก็คือ การหาเงินปัจจัย
ในการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ซึ่งท่านต้องใช้งบจำนวนมาก ซึ่งท่านได้เตรียมพระสมเด็จปรกโพธิ์
ซึ่งท่านได้ตั้งใจสร้างล่วงหน้าไว้ณ ประเทศอินเดีย เพื่อมอบให้แก่ผู้ร่วมบริจาคทรัพย์สร้างพระอุโบสถ
จึงได้วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๕ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง ๑ ปีเศษ เป็นพระอุโบสถที่หลัง
ใหญ่ที่สุดในบรรดาวัดที่มีอยู่ในภูมิภาค เป็นปูชนียสถานที่มีการแกะสลัก ลวดลายประตูหน้าต่าง
อย่างวิจิตรงดงามตระการตาเป็นที่กล่าวขวัญและชื่นชมของผู้พบเห็น

     อีกทั้งยังสร้างพระใหญ่ปางประทานพรใหญ่ที่สุดในประเทศ หน้าตักกว้าง ๑๑ วา ๒ ศอก ๗
นิ้ว สูง ๒๑ วา ๑ คืบ ๓ นิ้ว ใช้ งบประมาณก่อสร้างประมาณ ๒๐ ล้านบาท ด้านการศึกษาท่านได้ตั้ง
โรงเรียนพระปริยัติธรรม ทำการเปิดสอนแผนกธรรมและภาษาบาลีขึ้นในวัดพิกุลทองตั้งแต่ ปี ๒๔๗๕
อีกทั้งหลวงพ่อยังได้พัฒนาและการก่อสร้างศาสนสถาน วัดอื่นๆอย่างมากมาย รวมทั้งเป็นองค์
อุปถัมภ์หาทุนก่อสร้างอาคารต่างๆ ให้กับโรงพยาบาลสิงห์บุรี เช่นล่าสุดท่านได้หาทุนก่อสร้าง
อาคาร “หลวงพ่อแพ เขมังกโร ๙๔ ปี สูง ๙ ชั้น งบก่อสร้าง ๑๒๐ ล้านบาท
ดำรงตำแหน่งทางสงฆ์
เป็นพระราชาคณะ

ในปี พ.ศ.2521 ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะสามัญที่ พระสุนทรธรรมภาณี
ในปี พ.ศ. 2525 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี
ในปี พ.ศ. 2530 ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา
วันที่ ๕ ธันวาคม ได้ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น “พระราชสิงหคณาจารย์”
ในปี พ.ศ. 2535 ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา
วันที่ ๑๒ สิงหาคม ได้ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น “พระเทพสิงหบุราจารย์”
ในปี พ.ศ. 2539 ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชครบ ๕๐ ปี (พระราชพิธีกาจญนาภิเษก)
ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง ได้ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระสมณศักดิ์
พระสงฆ์ ๕๙ รูป หลวงพ่อแพก็ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น “พระธรรมมุนี”

    ในระยะหลัง หลวงพ่อได้งดรับกิจนิมนต์ โดยคำแนะนำจากผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสิงห์บุรี เนื่องจาก
ไม่สามารถพยุงตัวเองได้ รวมทั้งมีโรคประจำตัวคือ เบาหวาน และโรคชรา จนเมื่อ วันที่ ๒๔ ส.ค.๔๑ ทางคณะ
แพทย์ไดเห็นสมควรนำหลวงพ่อเข้าพักรักษาพยาบาล ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี เนื่องจากตรวจพบว่าหลวงพ่อ
เป็นโรคปอดอักเสบ ทางคณะแพทย์ได้ถวายการรักษาจนอาการดีขึ้น ต่อมาในวันที่ ๗ ก.ย.๔๑ ท่านอาการ
ทรุดลง  จนกระทั่งเวลา ๐๑.๓๐ น. ของวันที่ ๘ ก.ย.๔๑ ท่านได้มีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ไม่รู้สึกตัว และ
หัวใจหยุดเต้น ทางคณะแพทย์ได้ทำ การช่วยจนหลวงพ่อฟื้นคืนชีพได้สำเร็จ และทางได้ถวายดูแล
รักษาจนอาการดีขึ้น

จนกระทั่งวันพุธที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ เวลา ๑๒.๓๖ น. หลวงพ่อท่านก็ได้ละสังขารอย่างสงบ ณ ห้อง ๙๐๑ 
ชั้น ๙ อาคารหลวงพ่อแพ เขมังกโร โรงพยาบาลสิงห์บุรี สิริอายุ ๙๔ ปี ๗๓ พรรษา

http://group.wunjun.com