วัดโพธิ์ศรี ตั้งอยู่ที่บ้านโพธิ์ศรี อ.อินทร์บรี จ.สิงห์บุรี สร้างขึ้นเมื่อ ประมาณ พ.ศ.๒๓๗๖ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้าน ทิศตะวันตกติดแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านทิศตะวันออกติด ถนน รพช.อินทร์บุรี ซึ่งด้านทิศตะวันตก มีความยาว ๑๖๐ เมตร ในวัดยังมีองค์พระปฎิมา นาคปรก ได้บังเกิดขึ้นด้วยฝีพระหัตถ์ของ สมเด็จพระมหาเถระศรีศรัทธา ราชจุฬามุนีศรีรัตน์ลงกาทีปมหาสามีเป็นเจ้า หลังจากพระองค์ท่านกลับจากประเทศลังกา พระองค์ท่านใช้เวลา ใน การสร้างนานถึง ๗ พรรษา จึงสำเร็จ และได้กระทำพิธีในหมู่สงฆ์ผู้มีญาณ แล้วเชิญชะลอเอาประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ศรี เป็นเวลาอีกร้อยกว่าปี ได้ว่ารูป พระปฎิมานาคปรกองค์นี้มีอายุนานประมาณ ๗๐๐ กว่าปีทีเดียว พระพุทธรูป เป็นสมัยลพบุรี ปลายสมัยขอม เป็นพระพุทธรูปที่มีสาธุชน มาเคารพกราบ ไหว้มากที่สุดองค์หนึ่งในประเทศ
Wat Pho Si
Located at Ban Pho Si Village,Inburi Sub-district, Inburi District, Singburi Province,approximately built in 1833 during the reign of King Rama 3 or King Phanangklao.Its west side west,160 meters, is adjacent to Chao Phraya River while east sede adjacent to ARD standard road between Inbure-Namtan. In the temple has an important seated Buddha image under the cover of the Seven Headed Naga (Snake),this posture snormally called 'Nak Prok",built by the a great monk of Sri Lanka named Phra Maha Thera Srisatthrarat Chulamunisrirat Lankathipa Maha Semi after he returned from Sri Lanka. It took him 7 years to carry out this mission and the image was ceremonially consecrated by scholastic monks and invited to establish at Wat Pho Si, Inburi Sub-district,Inburi Distrivct,.Singburi Province for anothe hundred yeas.It is estimated that this Nak Prok Buddha image is about 700 years. It reflects the late Lopburi period art style in the late period of Khmer. This Buddha image is one among the most revered images by Buddhists in Thailand.
"๑๐๐ กว่าปี ที่หลวงพ่อนาคจากวัดกระโจม"
หลวงพ่อนาค ตั้งอยู่ ณ วัดโพธิ์ศรี ต.อินทร์บุรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ลักษณะคือเป็นพุทธรูปนาคปรกศิลาชาวบ้านเรียกว่า "หลวงพ่อนาค” องค์ท่านเป็นหินสลัก หน้าตักกว้างประมาณ ๒ ศอก สูงประมาณ ๓ ศอก คืบ องค์ท่านยังดีไม่แตกหัก ส่วนนาคปรกนั้นมีแตกหักบ้าง ช่างได้ซ่อมแซม ใหม่ให้ดีเรียบร้อยแล้ว เป็นพระพุทธรูปเก่ามาก ซึ่งสันนิษฐานว่าคง เป็นสมัยลพบุรี
ประวัติที่หลวงพ่อย้ายไปจากวัดกระโจม มีชาวบ้าน ๔-๕ คน ชวน กันออกไปตัดไม้ป่า ได้ไป ณ บริเวณวัดกระโจมซึ่งห่างจากวัดโพธิ์ศรีนี้ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร ซึ่งเป็นวัดร้างมานมนาน หนาทึบไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยนานาพันธุ์ และได้ทำให้พบพระพุทธรูปนาคปรกสถิตย์อยู่ในวิหารร้างเหลือแต่ซาก
กลับมาบ้านก็เล่าให้พวกชาวบ้านฟังกันตลอด ชาวบ้านคิดอยากได้ พระพุทธรูปเก่าแก่ไว้บูชา จึงได้เกณฑ์กันไปถางทางการถางทางก็กินเวลา หลายเดือน เพราะสมัยนั้นเป็นป่าไปทั่วทั้งหมด เมื่อถางเสร็จ พอจะนำล้อ เข้าไปได้แล้ว ก็กำหนดเวลาวันฤกษ์ดียามดีให้ป่าวร้องยกขบวนกันไปถึง ที่วัดกระโจมเป็นเวลาเพลพอดี
ตระเตรียมถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสามเณรเสร็จแล้ว ชาวบ้าน ก็เลี้ยงอาหารกัน พอเลี้ยงอาหารกันเสร็จแล้วก็พร้อมกันอัญเชิญหลวงพ่อนาค นี้ขึ้นบนล้อ เล่ากันว่า เวลานั้นเป็นเวลาเที่ยง แดดกำลังกล้าร้อนจัด แต่พอ อัญเชิญหลวงพ่อขึ้นมาไว้บนล้อนั้น ได้มีก้อนเมฆมหึมาลอยมาบังดวง อาทิตย์ไว้มิให้แผดแสงจ้า ทำให้ท้องฟ้ามืดมัวไม่มีแสงแดดตลอด จนถึงเย็น นี้ก็เป็นอัศจรรย์อย่างหนึ่ง
เมื่อเชิญหลวงพ่อขึ้นบนล้อแล้ว ก็เทียมช้างให้ลากและพวกชาวบ้าน ที่ไปก็จับเชือกช่วยกันลาก ปรากฏการณ์มหัศจรรย์ยิ่ง คือล้อมิได้เขยื้อน เลื่อนไปเลยแม้ควาญช้างจะลงข้อบังคับช้างให้ลากสักเท่าไรๆ ก็ไม่ได้เป็น ไปตามประสงค์ จนช้างร้องแผดเสียงไม่ยอมลาก ชาวบ้านทั้งหมดตกตะลึง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร และสงสัยในใจนัก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด มี ผู้ใหญ่คนหนึ่งมิทราบนาม คิดได้ว่าพวกเราทำผิดไป ไม่ทำคารวะสักการะ บูชาเสียก่อน จึงให้ทุกคนหาดอกไม้ธูปเทียนมาบูชากราบไหว้ขอขมา เสียก่อน แล้วเซ่นบวงสรวงเทพยดาอารักษ์ กล่าวคำอัญเชิญหลวงพ่อ
เมื่อทำพิธีเสร็จแล้วก็ช่วยกันลงมือลากล้อเคลื่อนไปได้อย่าง สะดวกสบาย มาถึงวัดโพธิ์ศรีตอนเย็น พระอาทิตย์จนจะลับฟ้าแล้ว เชิญมา ประดิษฐานอยู่บนแท่นใต้ต้นพิกุลใหญ่หลังอุโบสถ หลังคามุงแฝก ด้านหลัง ไม่มีฝา ทำการสมโภช ๓ วัน ๒ คืน หลวงพ่อประดิษฐานใต้ต้นพิกุลใหญ่นี้ เป็น เวลาหลายสิบปี จนเมื่อสร้างวิหารเรียบร้อยแล้ว จึงได้อัญเชิญมาประดิษฐาน อยู่ในวิหารหลังใหม่จนถึงปัจจุบัน
สันนิษฐานว่า หลวงพ่อมาอยู่วัดโพธิ์ศรีนี้ ประมาณ๑๐๐ ปีเศษแล้ว เพราะถามคนอายุ ๘๐ ปีกว่า ก็บอกว่าจำความได้ก็เห็นท่านอยู่ที่วัดนี้แล้ว
|