ประวัติศาสตร์จังหวัดสิงห์บุรี
30 กรกฎาคม 2560

/data/content/184/cms/fginoqxy1468.jpg

            สิงห์บุรี

                         ประวัติความเป็นมาสิงห์บุรี

   สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  “…เมืองสิงห์บุรีเป็นเมืองใหญ่และเก่า มีป้อมปราการ วังวัด
มหาธาตุ และของสำคัญ คือ พระนอนจักรสีห์ ใหญ่ยาวกว่าพระนอนองค์อื่น ๆในเมืองไทย ทำเป็น
แบบ
พระนอนอินเดียเหมือนเช่นที่ถ้ำเมืองยะลา คือ พระกรขวาศอกยื่นไปทางด้าน
หน้า ไม่ทำงอพระกรตั้งขึ้นรับ
พระเศียรแบบพระนอนไทย เมืองสิงห์เรียกชื่อต่างๆ ดังนี้ เมืองสิงหราชาธิราช เมืองสิงหราชา 
เป็นเมืองตั้ง
อยู่ริมแม่น้ำจักรสีห์อันเป็นลำน้ำใหญ่ ห่างแม่น้ำ เจ้าพระยา ๒๐๐ เส้น เพราะแม่น้ำจักรสีห์
ตื้นเขิน 
เมืองสิงห์จึงกลายเป็นเมืองอยู่ลับลี้…”
 

         ก็แสดงว่า สิงห์บุรีเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ มีอดีตยาวนาน จากหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์
และโบราณคดีพบว่า มีการตั้งถิ่นฐานของชุมชนโบราณมาเป็นเวลานานหลายยุคหลายสมัย ดังนี้


ยุคก่อนประวัติศาสตร์

         พบร่องรอยหลักฐานมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านชีน้ำร้าย อำเภออินทร์บุรี บ้านบางวัว ตำบลไม้ดัด
อำเภอบางระจัน บ้านคู ตำบลพักทัน อำเภอบางระจัน คือ ขวานหินแลดินเผา หินดุ ชิ้นส่วนกำไลสำริด เป็นต้น

 

สมัยทวาราวดี

         พบหลักฐานที่เมืองโบราณบ้านคูเมืองตำบลห้วยชัน อำเภออินทร์บุรี เป็นการตั้งถิ่นฐานแบบ 
“เมืองคูคลอง”
   มีแผนผังเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีคูน้ำ คันดินล้อมรอบ โบราณวัตถุที่ขุดพบ เช่น 
ภาชนะดินเผา ลูกปัด แท่นหินบด แวดินเผา ตะคัน ฯลฯ ส่วนหนึ่งจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
อินทร์บุรี ปัจจุบันสถานที่ดังกล่าวเป็นสวนรุกขชาติ และที่ตั้งหน่วยอนุรักษ์พันธุ์ไม้จังหวัดสิงห์บุรี
เมือง
วัดพระนอนจักรสีห์ ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมือง 
         รูปแบบเมืองเป็นเมืองซ้อนมีเมืองชั้นในรูปค่อนข้างกลม และเมืองชั้นนอกล้อมรอบรูปสี่เหลี่ยมมน 
ไม่ปรากฏร่องรอยกำแพงเมือง (ที่ทำด้วยดินพูนสูง) แต่คูเมืองบางด้านยังปรากฏให้เห็น สิ่งที่พบคือ ลูกปัด 
ดินเผา เศษภาชนะ ฯลฯ แหล่งโบราณคดีบ้านคีม ตำบลสระแจงอำเภอบางระจัน มีสภาพเป็นเนินดินรูปรี 
กว้าง ๒๐๐ เมตร ยาว ๕๐๐ เมตร  มีคูน้ำขนาด กว้าง ๕ เมตร


สมัยสุโขทัย

         มีการค้นพบเครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัยตามวัดร้าง และลำน้ำเจ้าพระยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่า 
ชุมชนต่าง ๆ นั้นมีความสำคัญมากน้อยเพียงไร เพราะในช่วงที่อาณาจักรสุโขทัยรุ่งเรืองนั้น ได้มีอำนาจแผ่
ขยายอาณาเขตครอบคลุมในบริเวณภาคกลางและลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา


สมัยกรุงศรีอยุธยา

          ปรากฏเหตุการณ์ที่สำคัญคือ สมัยสมเด็จพระมหารามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ตั้งเมือง
สิงห์บุรีเป็นเมืองลูกหลวง เมืองอินทร์บุรี เมืองพรหมบุรี เป็นเมืองหลานหลวง
 นอกจากนี้แล้ว เมืองทั้งสาม
ยังเป็นหัวเมืองชั้นในและหัวเมือง ชั้นในหน้าด่าน รายทางด้านทิศเหนืออีกด้วย โดยมีเมืองลพบุรีเป็น
เมืองหน้าด่านหลัก แสดงให้เห็นว่า เมืองสิงห์บุรี เมืองอินทร์บุรี และเมืองพรหมบุรี มีอยู่แล้วเมื่อตั้ง
กรุงศรีอยุธยา 
          ก่อนหน้านั้นเมืองทั้งสามอาจอยู่ในการปกครองของอาณาจักรสุโขทัย ก็ได้ แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่า
เมืองทั้งสามสร้างขึ้นในสมัยไหน สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้จัดการปกครองใหม่ โดยกำหนด 
ให้หัวเมืองชั้นในเป็นเมืองจัตวา ดังนั้น เมืองอินทร์บุรี เมืองพรหมบุรี และเมืองสิงห์บุรี จึงเปลี่ยนเป็น
เมืองจัตวา
          
ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อปี พ.ศ.๒๐๘๖ เมืองสิงห์เป็นเมืองที่สมเด็จพระมหาธรรม
ราชา ให้ทหารไปสืบข่าวเรื่องศึกสงครามกับพม่า ขณะเดียวกัน ก็ได้ยกกองทัพไปตั้งที่เมืองอินทร์บุรี เพื่อ
หยั่งเชิงดูข้าศึกอีกด้วย ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา
ในปี พ.ศ.๒๑๑๐ หลังจากสมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพได้ไม่นาน พม่าก็ได้ยกกองทัพมาตีกรุงศรี
อยุธยาอีกครั้ง
           ครั้งนี้พม่ายกกองทัพมาสองทาง คือ ทางเหนือมีพระเจ้าเชียงใหม่เป็นแม่ทัพ และทางตะวันตกมี 
พระยาพสิมเป็น
แม่ทัพ แต่ทัพของพระยาพสิมถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยาตีแตกไปก่อน โดยที่ พระเจ้าเชียงใหม่
ยังไม่ทราบเมื่อกองทัพพระเจ้าเชียงใหม่ยกมาถึงเมืองชัยนาทก็ให้แต่งทัพหน้า มาตั้งที่บางพุทรา ซึ่งตั้งอยู่
ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายหลังคือ ตัวจังหวัดสิงห์บุรี 
           ปี พ.ศ. ๒๓๐๘ สมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ในขณะที่พม่าตั้งค่ายล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ ชาวบ้าน
บางระจันได้รวมตัวกัน ต่อสู้กับพม่าที่บ้านบางระจัน เมืองสิงห์บุรี ซึ่งมีผู้นำสำคัญของชาวบ้าน และปรากฏชื่อ

คือ ๑.พระอาจารย์ธรรมโชติ ๒.นายแท่น ๓.นายโชติ ๔.นายอิน ๕.นายเมือง ๖.นายทองแก้ว ๗.นายดอก  
๘.นายจันหนวดเขี้ยว  ๙.นายทองแสงใหญ่ ๑๐. นายทองเหม็น ๑๑.ขุนสรรค์ ๑๒.พันเรือง 
           โดยชาวบ้านบางระจันได้ต่อสู้กับพม่า และสามารถเอาชนะกองทัพพม่าได้ถึง ๗ ครั้ง จนถึงครั้งที่ ๘ 
ชาวบ้านบางระจันจึงพ่ายแพ้ ในวันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ ปีจอ พ.ศ.๒๓๐๙ รวมเวลาที่ไทยรบกับพม่า
ทั้งสิ้น ๕ เดือน คือ ตั้งแต่เดือน ๔ ปลายปีระกา พ.ศ.๒๓๐๘ ถึงเดือน ๘ ปีจอ พ.ศ.๒๓๐๙

 

สมัยกรุงธนบุรี

           เมืองอินทร์บุรี เมืองพรหมบุรี เมืองสิงห์บุรี ขึ้นกับกรุงธนบุรี ในประชุมพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม)
กล่าวถึงสำเนาท้องตรา 
พ.ศ.๒๓๑๖ เกณฑ์ผู้รักษาเมืองสิงห์บุรี เมืองพรหมบุรี เมืองอินทร์บุรี ยกทัพไปสกัดข้าศึก
ด้านตะวันออก และคุมพรรคพวกซ่องสุมกำลัง
ยกไปขุดคูเลนพระนครเมืองธนบุรี


สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

         มีหลักฐานที่ปรากฏคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้จัดการปกครองมณฑล
เทศาภิบาล เมือสิงห์บุรีเมืองอินทร์บุรี เมืองพรหมบุรี เข้าอยู่ในมณฑลกรุงเก่า (รัชกาลที่ ๖ได้เปลี่ยนชื่อเป็น
มณฑลอยุธยา) และ ปี พ.ศ.๒๔๓๙ ยุบเมืองอินทร์บุรี และเมืองพรหมบุรี เป็นอำเภอขึ้นกับเมืองสิงห์บุรี 
พร้อมกับตั้งเมืองสิงห์บุรีขึ้นใหม่ที่ตำบลบางพุทรา ส่วนเมืองสิงห์บุรีเดิมยุบเป็นอำเภอสิงห์
 และต่อมา
ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบางระจัน

           ปี พ.ศ. ๒๔๔๔ อำเภอเมืองสิงห์บุรีเปลี่ยนเป็นอำเภอบางพุทรา และในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ทางราชการ
สั่งให้เปลี่ยนชื่อที่ว่าการอำเภอที่ตั้งอยู่ในเมือง ให้เป็นชื่อของจังหวัดนั้นๆ อำเภอบางพุทราจึงได้กลับไปใช้ชื่อ
อำเภอเมืองสิงห์บุรี มาจนถึงปัจจุบันนี้


ที่มา http://www.singburi.go.th/general/history.html